วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่ 1 คลังข้อสอบ

TCAS คืออะไร ?


  • TCAS เป็นระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยรูปแบบใหม่ ซึ่งย่อมาจาก Thai University Central Admission System
ไม่ใช่ระบบเอ็นทรานซ์ แต่เป็นการรวมวิธีการรับนักศึกษาทั้ง 5 รูปแบบมาไว้ด้วยกัน

credit : https://www.mangozero.com/thai-university-central-admission-system/                                    

ต่างจากระบบเดิมอย่างไรบ้าง ?

  • การสอบของข้อสอบกลางทั้งหมดจะเลื่อนไปสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
  • GAT/ PAT จัดสอบระหว่างวันที่ 24 – 27 กุมภาพันธ์ 2561
  • O-NET จัดสอบระหว่างวันที่ 3 – 4 มีนาคม 2561
  • 9 วิชาสามัญ จัดสอบระหว่างวันที่ 17 – 18 มีนาคม 2561
  • กสพท. และวิชาเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย จัดสอบระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 12 เมษายน 2561
  • นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ภาษาเกาหลี เป็นภาษาเพิ่มเติมในการสอบ PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศด้วย

มีข้อดีอย่างไรบ้าง ?

  • เพิ่มโอกาสความเท่าเทียมในการเข้ามหาวิทยาลัย
  • ลดปัญหาการกันสิทธิ์คนอื่น (กั๊กที่)
  • ลดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคนรวยกับคนจน
  • แก้ปัญหาวิ่งรอกสอบ เพราะระบบใหม่จะจัดช่วงเวลาการสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว

ายละเอียดการคัดเลือก TCAS ทั้ง 5 รอบ (ปีการศึกษา 2561)

รอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน

  • สำหรับ : นักเรียนทั่วไป นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ นักเรียนโควตา นักเรียนเครือข่าย
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก
ครั้งที่ 1 : 1 ตุลาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2560 ประกาศผล : 22 ธันวาคม 2560
ครั้งที่ 2 : 22 ธันวาคม 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561ประกาศผล : 26 มีนาคม 2561


รอบที่ 2 : การรับแบบโควตาที่มีการสอบปฏิบัติและข้อเขียน

  • สำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือภาค โควตาโรงเรียนในเครือข่าย และโครงการความสามารถพิเศษ
  • คะแนนที่ต้องใช้ยื่น : GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ธันวาคม 2560 – เมษายน 2561
  • ประกาศผล : 8 พฤษภาคม 2561
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
รอบที่ 3 : การรับตรงร่วมกันสำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในโครงการ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย), โครงการอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 9 – 13 พฤษภาคม 2561
  • ประกาศผล : 8 มิถุนายน 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยไม่มีลำดับ หมายความว่า 4 สาขาวิชา หรือ 4 มหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นน้องๆ มีโอกาสผ่านการคัดเลือกทั้งหมด.. (แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อในเคลียริ่งเฮาส์ของรอบที่ 3 อีกครั้ง) ซึ่งที่จะมีการจัดสอบร่วมกันในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเอง

รอบที่ 4 : การรับแบบ Admission สำหรับ : นักเรียนทั่วไป

  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 6 – 10 มิถุนายน 2561
  • ประกาศผล : 13 กรฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยมีลำดับ (เหมือนปีที่ผ่านมา)
รอบที่ 5 : การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)สำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ภายในเดือนกรกฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบได้ตามความต้องการ โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะรับตรงด้วยวิธีการของมหาวิทยาลัยเอง
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
ที่มาแหล่งข้อมูล : https://www.mangozero.com/thai-university-central-admission-system/








คลังข้อสอบของฉัน

onet ม.6
ข้อสอบ O-net 49 ม.6 (ปีการศึกษา 2548)พร้อมเฉลยข้อสอบ O-net 50 ม.6  (ปีการศึกษา 2549)พร้อมเฉลยข้อสอบ O-net 51 ม.6  (ปีการศึกษา 2550)พร้อมเฉลยข้อสอบ O-net 52 ม.6  (ปีการศึกษา 2551)พร้อมเฉลยข้อสอบ O-net 53 ม.6  ( ปีการศึกษา 2552)พร้อมเฉลยข้อสอบ O-net 54 ม.6 (ปีการศึกษา 2553) พร้อมเฉลย สอบเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2554 ข้อสอบ O-net  ม.6 (ปีการศึกษา 2558) พร้อมเฉลย สอบเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 
ข้อสอบโควต้ารับตรง ม.ช.

ข้อสอบโควตา รับตรง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 51
สังคมศึกษา 2551 
ภาษาไทย   2551 


ข้อสอบโควตา รับตรง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 52
สังคมศึกษา 2552 
ภาษาไทย   2552 
ภาษาอังกฤษ 2552 
คณิตศาสตร์ 1 2552 
คณิตศาสตร์ 2 2552 
วิทยาศาสตร์ 1 2552 
วิทยาศาสตร์ 2 2552 


ข้อสอบโควตา รับตรง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 53
วิทยาศาสตร์ 1 2555 


ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี 2555 (สอบ ม.ค. 2555)
- คณิตศาสตร์ คลิกที่นี่ + เฉลย คลิกที่นี่
ฟิสิกส์ + เฉลย คลิกที่นี
 เคมี + เฉลย คลิกที่นี่
 ชีววิทยา คลิกที่นี่
 ภาษาไทย คลิกที่นี่
 สังคมศึกษา คลิกที่นี่

 ภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่ + เฉลย คลิกที่นี่
ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี 2556 (สอบ ม.ค. 2556)
คณิตศาสตร์ คลิกที่นี่ + เฉลย ตอนที่ 1 คลิกที่นี่ ตอนที่ 2 คลิกที่นี่
ฟิสิกส์ + เฉลย คลิกที่นี่
ชีววิทยา คลิกที่นี่ 
ภาษาไทย คลิกที่นี่
สังคมศึกษา คลิกที่นี่
ภาษาอังกฤษ + เฉลย คลิกที่นี่

ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี 2557 (สอบ ม.ค. 2557)
คณิตศาสตร์ คลิกที่นี่ + เฉลย คลิกที่นี่
ฟิสิกส์ คลิกที่นี่
เคมี คลิกที่นี่  + เฉลย คลิกที่นี
ชีววิทยา คลิกที่นี่
ภาษาไทย คลิกที่นี่ 
สังคมศึกษา คลิกที่นี
ภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่

ข้อสอบ 7 วิชาสามัญ ปี 2558 (สอบ ม.ค. 2558)
คณิตศาสตร์ คลิกที่นี่ 
ฟิสิกส์ คลิกที่นี่ 
 เคมี คลิกที่นี่   
           ชีววิทยา คลิกที่นี่ 
           ภาษาไทย คลิกที่นี่ 
           สังคมศึกษา คลิกที่นี่ 
           ภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่ 

ข้อสอบ 9 วิชาสามัญ ปี 2559 (สอบ ธ.ค. 2558)
           คณิตศาสตร์ 1 คลิกที่นี่ + เฉลย คลิกที่นี่
           ฟิสิกส์ คลิกที่นี่ 
           เคมี คลิกที่นี่
           - ชีววิทยา คลิกที่นี่ เฉลย คลิกที่นี่
           ภาษาไทย คลิกที่นี่ 
           สังคมศึกษา คลิกที่นี่ 
           ภาษาอังกฤษ คลิกที่นี่
           คณิตศาสตร์ 2 + เฉลย คลิกที่นี่
ข้อสอบโควตา รับตรง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อื่นๆ
1 ข้อสอบโควตาเชียงใหม่ Eng    
2 ข้อสอบโควตา เชียงใหม่ เลข   
3 ข้อสอบโควตา เชียงใหม่ ไทย สังคมปี 51  

4 ข้อสอบโควตา เชียงใหม่ เลข  คลิก<<ลิงค์เสียแล้ว
5 ข้อสอบโควตา เชียงใหม่ เคมี      
6 ข้อสอบโควตา เชียงใหม่ เคมี  คลิก<<ลิงค์เสียแล้ว

ข้อสอบ PAT 1


ภาษาอังกฤษ

ไวทยากรณ์ภาษาอังกฤษ












ชีววิทยา




ภาษาไทย






เศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์












ประวัติศาสตร์










































วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

บทที่ 5 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์


ใบงานที่ 4 บทความสารคดี

อาการปวดท้องประจำเดือนที่ผู้หญิงหลายคนเป็น




อาการปวดท้องประจำเดือน บางคนอาจจะมีอาการปวดเพียงเล็กน้อย พอให้รู้สึกรำคาญ แต่บางคนก็อาจจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้หญิงได้มาก แต่รู้ไหมว่าอาการปวดท้องประจำเดือนนั้น ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคร้ายที่กำลังแอบแฝงอยู่ก็ได้ เพราะฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกับอาการปวดท้องประจำเดือนกันก่อนดีกว่า

สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือน

อาการปวดท้องประจำเดือน เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งก็มีทั้งสาเหตุที่ไม่เป็นอันตรายและสาเหตุที่เป็นอันตราย ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดท้องในวันที่ประจำเดือนมาจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะนั่นอาจเป็นเพราะสาเหตุของปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้

1. มดลูกหดตัวแรงกว่าปกติ

โดยปกติแล้ว ในขณะมีประจำเดือน ผนังมดลูกจะสร้างสารชนิดหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน ซึ่งสารตัวนี้จะทำให้มดลูกมีการหดตัว ก่อให้เกิดอาการปวดท้องเบาๆ แต่ถ้าหากสารพรอสตาแกลนดินมีปริมาณมากกว่าปกติ ก็จะก่อให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และในบางรายก็อาจจะมีไข้ ที่เรียกกันว่าไข้ทับระดู แต่ทั้งนี้อาการปวดท้องประจำเดือนจากกรณีนี้ จะไม่เป็นอันตรายมากนัก เพียงแต่หากมีไข้สูงก็ควรทานยาลดไข้และดูแลตนเองให้มากขึ้นเท่านั้น

2. มีโรคร้ายแอบแฝง

อาการปวดท้องประจำเดือน บางครั้งก็ไม่ใช่อาการปวดแบบธรรมดา แต่อาจเป็นอาการข้างเคียงจากภาวะแอบแฝง จำพวกโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น ช็อกโกแลตชีส มะเร็งรังไข่ หรือการติดเชื้อต่างๆ ในช่องคลอด ซึ่งภาวะเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมาก และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ และมีอาการคัน เป็นต้น โดยหากมีอาการแบบนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันเวลา

อาการปวดท้องประจำเดือน

อาการปวดท้องประจำเดือนจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกัน เนื่องจากที่รู้ๆ กันอยู่ว่าอาการปวดท้องในขณะมีรอบเดือนนั้นจะเกิดขึ้นได้จากสองสาเหตุหลักๆ คือการหดตัวของมดลูกแรงเกินไปและภาวะแอบแฝงจากโรคร้าย ซึ่งมีอาการดังนี้

1. ปวดท้องประจำเดือนจากการหดตัวของมดลูก

  • ปวดบริเวณท้องน้อย แต่อาการปวดจะไม่รุนแรงมากนัก และอาจมีอาการปวดร้าวไปบริเวณหลังร่วมด้วย
  • รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า โดยเฉพาะคนที่ประจำเดือนมามาก
  • มีอาการคลื่นไส้อาเจียน

2. ปวดท้องประจำเดือนจากภาวะแอบแฝง

  • ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง บางคนอาจมีอาการปวดจนถึงขั้นลุกเดินแทบไม่รอดเลยก็มี
  • มีไข้ ซึ่งอาจเป็นภาวะไข้ทับระดูได้
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
  • มีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นเพราะการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆ
  • เลือดประจำเดือนเป็นสีแดงสด

วิธีบรรเทาปวดประจำเดือนอย่างได้ผล

เมื่อมีอาการปวดท้องประจำเดือน ไม่ว่าจะปวดมากหรือปวดน้อย ก็มักจะสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่ครั้นจะรอให้อาการปวดหายไปพร้อมกับวันหมดประจำเดือนก็คงจะไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเรามาบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้กันดีกว่า

1. ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน

ความร้อนมีคุณสมบัติในการทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงผ่อนคลายลง ซึ่งก็จะส่งผลให้อาการปวดบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นแนะนำให้นำกระเป๋าน้ำร้อนมาประคบที่หน้าท้องเมื่อมีอาการปวด ประคบไปเรื่อยๆ จะทำให้อาการปวดค่อยๆ ทุเลาลง อาจไม่หายสนิทแต่ก็ดีขึ้นไม่น้อย ซึ่งในปัจจุบันนั้นการใช้กระเป๋าน้ำร้อนไม่ได้ยุ่งยากเหมือนในสมัยก่อนอีกต่อไป เพราะมีกระเป๋าน้ำร้อนไฟฟ้า แค่เพียงเสียบปลั๊กชาร์จไม่ถึง 5 นาทีก็สามารถนำมาใช้ได้เลย แถมยังหาซื้อได้ง่ายทั่วๆ ไป

2. ออกกำลังกายเบาๆ

ในช่วงมีประจำเดือน หลายคนอาจเข้าใจว่าไม่ควรออกกำลังกาย แต่ความจริงแล้วการออกกำลังกายก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยอาจเลือกการออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น เดิน เล่นโยคะ เป็นต้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้เท่านั้น แต่ยังทำให้สุขภาพดี แข็งแรงตลอดรอบเดือน แต่แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ เพราะช่วงมีประจำเดือน ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย จึงเสี่ยงต่อการเป็นลมได้

3. ดื่มน้ำอุ่นมากๆ

การดื่มน้ำมากๆ ในขณะมีประจำเดือน จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้อย่างดีเยี่ยม และเป็นวิธีที่เบสิคที่สุด เพราะเมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ จะส่งผลให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถควบคุมปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ จึงทำให้อาการปวดท้องทุเลาลง แต่จะต้องดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องปกติเท่านั้น เพราะหากดื่มน้ำเย็นอาจส่งผลให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มก้อนและขับออกมายาก ทั้งยังทำให้อาการปวดรุนแรงหนักขึ้นก็เป็นได้

4. รับประทานยาแก้ปวด

สำหรับวิธีนี้ ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้มากนัก เพราะการรับประทานยาแก้ปวดอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายในด้านอื่นๆ ได้ ดังนั้นหากคิดจะทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน ควรเลือกทานมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงจริงๆเท่านั้น แต่ถ้าให้ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานจะดีที่สุด

  

5. นอนตะแคง

การนอนตะแคงจะสามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ ส่วนจะตะแคงไปข้างไหนดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับระดับมดลูกของแต่ละคนด้วย ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนแนะนำให้ลองนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่งดู เพื่อทดสอบว่านอนตะแคงด้านไหนแล้วทำให้อาการปวดท้องบรรเทาลง

อาหารช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน

นอกจากเคล็ดลับบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนข้างต้นแล้ว อาหารก็มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้เช่นกัน  ทั้งนี้ก็เพราะอาหารบางชนิดอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งและบรรเทาอาการปวดได้ รวมถึงช่วยผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อ จึงทำให้อาการปวดลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาหารที่สามารถช่วยให้อาการปวดท้องประจำเดือนดีขึ้นได้ก็มีด้วยกันดังนี้

1. ใบตำลึง

ตำลึง พืชสมุนไพรที่เชื่อว่าสามารถแก้เบาหวานได้ และยังมีประโยชน์สรรพคุณอีกมากมาย ซึ่งใบตำลึงก็ได้รับความนิยมในการนำมาทานเพื่อบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนเช่นกัน เนื่องจากตำลึงอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทานใบตำลึงได้ทั้งแบบสดๆ หรือแบบลวกก็ได้



2. ตังกุย

ตังกุยมีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด จึงไม่ทำให้หลอดเลือดมีการบีบตัวและกล้ามเนื้อมดลูกหดเกร็งมากเกินไป แต่ทั้งนี้การทานตังกุยเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือนนั้น ควรทานก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1-2 สัปดาห์จะดีที่สุด และควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะตังกุ่ยอาจส่งผลให้ผิวบางขึ้นจนมีความไวต่อแสงแดดได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีผลิตภัณฑ์ตังกุยในรูปแบบของชาชงดื่ม ซึ่งก็จะทานง่ายไปอีกแบบ แต่อย่าลืมอาจคำแนะนำให้ครบถ้วนก่อนดื่มด้วย



3. น้ำเต้าหู้

ในน้ำเต้าหู้นั้น มีฮอร์โมนเพศหญิงชนิดหนึ่ง ทีสามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้  โดยฮอร์โมนตัวนี้จะออกฤทธิ์เป็น anti-estrogen ซึ่งจะลดการเกิดอาการปวดท้องประจำเดือนได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ควรทานก่อนประจำเดือนมาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดผลดีที่สุด นอกจากนี้หากใครไม่ชอบดื่มน้ำเต้าหู้ ก็สามารถเลือกผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง เต้าหู้ หรือซุปเต้าเจี้ยวแทนได้เช่นกัน

4. ปลาทะเลน้ำลึก

ปลาทะเลน้ำลึก เป็นปลาที่อุดมไปด้วยกรด EPA และ DHA ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยปลาที่แนะนำให้ทานมากที่สุด ได้แก่ ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาแฮร์ริ่งและปลาแซลมอน เป็นต้น

5. ผักผลไม้

ผักผลไม้ที่มีกากใยสูงมีส่วนช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เนื่องจากกากใยในผักผลไม้นั้น จะทำหน้าที่ในการดักจับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินและกำจัดทิ้ง จึงไม่ทำให้มดลูกหดตัวมากเกินไป นอกจากนี้แล้ว ควรเลือกทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพราะจะช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งท้องได้ดีด้วย

อาหารต้องห้าม เมื่อปวดท้องประจำเดือน

นอกจากการรับประทานอาหารบางชนิดเพื่อช่วยให้อาการปวดท้องประจำเดือนดีขึ้นได้แล้ว อาหารบางชนิดก็มีส่วนกระตุ้นให้อาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงมากกว่าเดิมได้เช่นกัน ซึ่งอาหารนั้นๆ ก็มีดังนี้

1. เนื้อสัตว์ติดมัน

เนื่องจากไขมัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องประจำเดือน จึงควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ติดมันมากที่สุด เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิมได้ ถ้าให้ดีช่วงนี้ควรเลือกทานเนื้อปลาเป็นหลัก หรือจะทานหมูเนื้อแดงก็ได้

2. อาหารแปรรูป

อาหารแปรรูป จำพวกฮอทดอก ขนม เบเกอร์รี่ต่างๆ ล้วนมีโซเดียมสูง จึงอาจก่อให้เกิดอาการท้องอืดและปวดท้องประจำเดือนมากกว่าเดิมได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปเหล่านี้ และหันมาทานอาหารที่ปรุงสุกสดใหม่จะดีกว่า

3. คาเฟอีน

คาเฟอีน เป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ดังนั้นช่วงมีประจำเดือน จึงควรงดเครื่องดื่มคาเฟอีนทุกชนิด หรือหากจำเป็นก็ควรดื่มในปริมาณที่น้อยที่สุด หรือเจือจางให้มากที่สุด


4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ไม่อยากให้อาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงมากกว่าเดิม ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ความเข้มข้นของเลือดลดต่ำลง และเลือดสูบฉีดเร็วขึ้นกว่าปกติ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอาการปวดท้องแล้ว ยังส่งผลให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวและเกิดอาการอ่อนเพลีย

5. ของหวาน

นอกจากของมันแล้ว ของหวานก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน ถึงแม้ว่าชวงมีประจำเดือนคุณจะรู้สึกอยากทานของหวานมากแค่ไหนก็ตาม เพราะน้ำตาลจะทำให้อาการปวดท้องย่ำแย่ลงกว่าเดิม แต่หากคุณรู้สึกอยากทานของหวานจริงๆ แนะนำให้เลือกทานของหวานจากผลไม้จะดีที่สุด นอกจากจะไม่ทำให้อาการรุนแรงขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ไอศกรีม

หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า เมื่อมีอาการปวดท้องประจำเดือนนั้นไม่ควรทานไอศกรีม เพราะว่าไอศกรีมนั้นเต็มไปด้วยไขมันจากนม เมื่อทานในปริมาณมากจึงส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ไม่แพ้เนื้อสัตว์ติดมัน เพราะฉะนั้นช่วงมีประจำเดือนก็อดใจงดทานไอศกรีมไปก่อนจะดีที่สุด
อาการปวดท้องประจำเดือน เป็นอาการปวดที่สร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับผู้หญิงได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุซึ่งไม่ควรละเลยทั้งสิ้น โดยหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน และบรรเทาอาการปวดด้วยวิธีที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนให้ทุเลาลงได้ หรือบางครั้งอาการปวดประจำเดือนมากๆ ก็อาจเป็นสัญญาณของอาการผิดปกติของมดลูกด้วยก็เป็นได้ และการไปพบแพทย์ตรวจหาสาเหตุก็จะทำให้รับมือรักษาได้อย่างเท่าทัน
ดังนั้น หากมีอาการปวดมากผิดปกติบ่อยๆ ก็ยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจเช่นกัน พร้อมกันนี้ อย่าลืมหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้าม เพราะนั่นอาจทำให้อาการปวดท้องประจำเดือนมีอาการรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมได้ด้วย หากดูแลสุขภาพให้ดีดังคำแนะนำที่กล่าวมา เชื่อว่าอาการปวดท้องประจำเดือนอย่างที่เคยเป็น ย่อมบรรเทาให้ดีขึ้นได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป







 

 

 

 

 

 

 



กิจกรรมที่ 1 คลังข้อสอบ

TCAS คืออะไร ? TCAS เป็นระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยรูปแบบใหม่ ซึ่งย่อมาจาก Thai University Central Admission System ไม่ใช่ระบบเอ็นท...